เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ก.พ. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญทางศาสนานะ เป็นวันสำคัญทางศาสนาให้เรารู้สึกตัวเองไง ว่าศาสนานี่เป็นการยืนยัน เพราะพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย นี่สิ่งนี้มันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากการประพฤติปฏิบัติ มันเกิดมาจากใจนะ ถ้าใจใสสะอาด เห็นไหม นี่เกิดจากการกระทำ ถ้าเกิดจากการกระทำนะ ในศาสนาปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ในการปฏิบัติมันถึงจะเกิดความสะอาดบริสุทธิ์ในหัวใจไง ถ้าเกิดความสะอาดบริสุทธิ์ในหัวใจ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นความจริง

โลกตอนนี้นะ นี่คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจารึกไว้ในคัมภีร์แล้วกราบไหว้บูชากัน กราบไหว้บูชาเป็นปริยัตินะ ปริยัตินี่การศึกษา เห็นไหม เรากราบไหว้บูชาในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราไม่ได้ปฏิบัติให้เข้ามาในหัวใจของเรา ถ้าเราปฏิบัติเข้ามาในหัวใจของเรา นี่ปริยัติต้องมีปฏิบัติ

การประพฤติปฏิบัตินะ มันเป็นความขัดแย้งความรู้สึกเรา ความรู้สึกของคนมันต้องการความสะดวกสบาย ต้องการความสงบ ว่าความสงบ ความสะดวกสบาย แล้วเวลาความสงบนี่ให้กิเลสมันพาให้สงบนะ ในศาสนาพุทธนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ปล่อยวาง ทุกคนคิดว่าปล่อยวางกันแล้วนะ ปล่อยวางแบบนี้ปล่อยวางแบบไม่มีเหตุมีผล ปล่อยวางโดยกิเลสไง ปล่อยวางแบบไม่มีความรับผิดชอบ ปล่อยวางอย่างนี้แล้วว่ามีความสะดวกสบาย มีความสุข ความสุขของกิเลสนะ

โยมไม่เคยเห็นความสุขของธรรมนะ ถ้าเห็นความสุขของธรรม มันปล่อยวางมันจะมีความสะเทือนหัวใจมาก มันจะว่างแล้วมันจะมีความสุข มันจะเหมือนคนเป็นเจ้าของ เหมือนเรามีเงินทองในกระเป๋ามหาศาลเลย กับเราดูเงินทองของคนอื่นนะ ถ้าเราดูเงินของคนอื่นเราก็พูดได้ เงินเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นนะ แต่ถ้าเงินทองเป็นของเราความรู้สึกต่างกันนะ ความรู้สึกว่าในกระเป๋าเรากับความรู้สึกเงินคนอื่นต่างกันมากเลย ความว่างๆ ที่เราพูดกันมันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าศีล สมาธิ ปัญญา ศีลในข้อบังคับ เราก็ไปติดกันที่ข้อบังคับ เวลาถือศีลกันนะ นี่ทำอย่างนั้นก็ผิดๆ มันเป็นข้อบังคับ เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย มันจะผิดอะไร ยังไม่ทำอะไรเลยมันก็ไม่มีอะไรผิดนะ แต่เราไปวิตกกังวลว่าทำอันนั้นก็ผิด ทำอันนี้ก็ผิด เห็นไหม สิ่งที่มันจะผิดมันเกิดจากการกระทำ ถ้าทำแล้วมันถึงผิด ถ้าไม่ได้ทำแล้วไม่ผิดหรอก เราไปวิตกกังวลว่ามันจะผิดอย่างนั้น มันจะผิดอย่างนี้ นั่นคือศีล

ศีลเป็นความปกติของใจ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเรา เห็นไหม เราควบคุมใจของเรา ถ้าใจเราปกติ มันจะเกิดความปกติของใจ ถ้าความปกติของใจ ว่างๆ ว่างๆ มันไม่มีสติ ถ้ามีสติเราควบคุมด้วยสตินะ สติควบคุมเข้าไปมันต้องมีเจ้าของนะ ถ้าเรามีเจ้าของสิ่งนั้นจะเป็นสมบัติของเรา สมบัติในบ้านเราถ้ามีคนรักษามันสมบัตินี้จะอยู่กับเรา สมบัติเราลืมนะ เป็นของเราๆ ลืม อยู่ในบ้านเรานี่เราลืม เราทิ้งขยะไป เงินแบงก์กำไว้เลยคิดว่าเศษกระดาษ ทิ้งถังขยะไปโดยไม่รู้ตัวเลย เห็นไหม แต่ถ้าเป็นของเราเราจะรักของเรา นี่สมบัติถ้าเป็นของเรามีเจ้าของ สติสัมปชัญญะ

ถ้าสติเราควบคุมเข้าไปนะ จะไม่พูดว่าว่างๆ อย่างนั้นหรอก มันสะเทือนใจมาก ความว่างอย่างนี้มันเกิดมาจากไหน มันเกิดจากการประพฤติปฏิบัติ มันเกิดจากการเราไปสัมผัส สันทิฏฐิโก ไม่ต้องมีใครบอกเลย สิ่งที่บอกๆ กันนี่ ต้องมีการบอกกัน เห็นไหม ว่างอย่างนั้นเป็นกระแส กระแสว่าเหมือนๆ กัน คำว่าเหมือนๆ กันนะ ตัวเองไม่มั่นใจตัวเอง แต่ถ้าตัวเองมั่นใจตัวเองนะ สมบัติของเราทำไมต้องให้คนอื่นเขามายืนยันว่าเป็นสมบัติของเรา สิ่งนี้เป็นสมบัติของเรานะ แล้วถ้าเกิดเป็นสมบัติของกิเลสนะ กิเลสมันก็ว่าว่างๆ อย่างนี้ มันก็ยืนยันของมัน ยืนยันโดยกิเลสมันไม่เป็นความจริง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันเป็นมิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ ในสมาธิมีมิจฉา-สัมมานะ ดูเงินสิ แบงก์นะ แบงก์จริงก็มีแบงก์ปลอมก็มี นี่มันเกิดมาจากความรู้สึกของเรานี่

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้คือความรู้สึกของเรานี่ นี่แล้วถ้ามันเกิดเป็นความว่างล่ะ ว่างเราก็ยังต้องให้คนอื่นมารับประกันของเรา เห็นไหม นี่เกิดจากเราแท้ๆ เลย แต่ไม่มีสติ ถ้ามีสติขึ้นมานะ ของเรานี่มันเป็นของจริง เห็นไหม ธรรมอย่างนี้มันเป็นอกาลิโก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีกาลไม่มีเวลา เราว่า ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้วนะ ๕,๐๐๐ ปีข้างหน้านะมรรคผลจะไม่มี มรรคผลจะไม่มีนะ เราต้องไม่มีทุกข์เลย เพราะทุกข์เป็นอริยสัจนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเรื่องอริยสัจ ความพิสดาร ความมีฤทธิ์มีเดชต่างๆ นี่ สิ่งนั้นไม่สำคัญเลย ความสำคัญในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่เรื่องของการบันลือสีหนาท ธรรมนี่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องของทุกข์นี่ ทุกข์นี่มันมีเป็นสัจธรรม สัจธรรมความจริงเลย เวลาเกิดมามีทุกคน เห็นไหม

โลกนี้โลกสมมุติ มันสมมุติกันว่าเป็นความสุข แต่ไม่เป็นความสุขจริงเลย แต่ถ้าเราค้นคว้าของเรา ความสุขของเราเป็นความสุขส่วนตัว มันอยู่ในหัวใจของเรา เห็นไหม มันเกิดมาจากไหนล่ะ มันเกิดมาจากเรากระทำนะ ศาสนานี่เป็นศาสนพิธี นี่เป็นพิธีกรรมต่างๆ วันนักขัตฤกษ์ วันสำคัญทางศาสนา เราจะมาทำบุญกุศลกัน

ทำบุญกุศลทำเพื่อใคร ถ้ามองด้วยความหยาบๆ นะ มันก็ทำเพื่อสังคม ทำเพื่อความสังคมยอมรับ จริงๆ คือทำเพื่อเรานะ นี่โยมอุตส่าห์บากหน้ากันมานี่ เห็นไหม ต้องตั้งใจมา ความตั้งใจอันนี้ถ้ามันฝังไปที่ใจ เห็นไหม เพราะตัวนี้เป็นเจ้าของ นี่เงิน ทอง ข้าวของต่างๆ บ้านนี่มันอยู่ในบ้านเรานะ ทรัพย์สิน เงิน ทอง ก็อยู่ในบ้านของเรานะ เจ้าของคือเรา สิทธิของเรา เราเป็นเจ้าของ เห็นไหม ขณะที่ไม่อยู่กับเรา เราเป็นเจ้าของในทรัพย์สมบัติที่เป็นสมมุตินี้นะ แต่มันเป็นสมบัติของสาธารณะ เพราะถ้าเราใช้ เรามีสิทธิ์ใช้ เราใช้ได้ แต่มีคนลักคนขโมยของเราไปได้ มีคนคดโกงเราไปได้

แต่ถ้ามันเป็นเจตนา มันเป็นความสุขในหัวใจ เห็นไหม เราตั้งใจทำบุญ อุตส่าห์แสวงหามา สิ่งที่โยมเอามาสละทานนะนี่มันมาจากไหน มาจากน้ำพักน้ำแรงนะ โยมต้องอาบเหงื่อต่างน้ำหาเงินหาทองมา แล้วเสียสละมันออกไป นี่ของๆ เราทำไมเราจะไม่รักเราจะไม่สงวน สิ่งที่สงวนมันเป็นสมบัติจากภายนอก แต่สมบัติจากภายในนะคือความรู้สึก ความรู้สึกเราเสียสละออกไปคือเราเป็นเจ้าของ เราเป็นคนได้ ไฟไหม้เรือนนะ ไฟไหม้บ้านอยู่ ถ้าใครเอาขนของนั้นออกจากบ้านสมบัตินั้นจะเป็นของเรา สมบัติของเราเราเก็บไว้กับเรา แล้วพอไฟไหม้เรือนเรา มันก็จะไหม้ไปกับเรา เห็นไหม

สมบัติที่เราเสียสละออกไปแล้วนี่มันเป็นทิพย์ อาหารที่โยมเสียสละมานี่นะ โยมเคยทำบุญมามากมายแล้วนะ คิดถึงสิ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ๑๐ ปีที่แล้ว อาหารนั้นไม่เคยบูดไม่เคยเน่าเพราะโยมยังนึกภาพมันออก เห็นไหม นี่ทิพย์เป็นอย่างนี่ ทิพย์สมบัติมันอยู่ที่ใจของเรา มันเปลี่ยนจากสิ่งที่เป็นวัตถุเป็นนามธรรม เปลี่ยนจากนามธรรมแล้ว คนที่ทำเข้ามาอยู่ในหัวใจของเรา สิ่งที่เราเสียสละออกไปนี่ เราเสียสละออกไปทุกอย่างเราเป็นคนได้ คนที่ได้คือใคร คือตัวจิต จิตนี้เป็นตัวได้ เห็นไหม

แล้วจิตนี่มันพัฒนาของมัน มันเห็นคุณประโยชน์ไง นี่จิตอ่อนควรแก่การงาน มันไม่ตระหนี่ มันไม่ถี่เหนียว ความตระหนี่ถี่เหนียว ความอหังการ มันทำให้จิตนี้กระด้าง จิตนี้กระด้างเราจะมีความทุกข์ไปกับมัน เพราะมันอหังการแล้วมันก็ไปกว้านเอาสิ่งต่างๆ มาทับถมใจมัน แต่เวลาเราเสียสละออกไปจิตนี้อ่อน จิตนี้ควรแก่การงาน มีการให้อภัย มีการให้อภัยต่อกัน มีการยกโทษกัน มีการผ่อนปรนกัน มีการช่วยเหลือเจือจานกัน สิ่งนี้มันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากใจ นี่มันเกิดมาจากศาสนพิธี จากพิธีกรรม มันก็ย้อนกลับมาในหัวใจของเรา

ถ้าเราเสียสละ เรามีความคิดของเรา เห็นไหม มันจะเป็นสมบัติของเรานะ ถ้าสมบัติของเราเป็นสภาวะแบบนี้ นี่มันจะเห็นคุณค่าไง ทำไมเรามาประพฤติปฏิบัติกัน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ได้อะไรมา ได้แต่ความอ่อนเพลีย ได้แต่เหงื่อ ได้แต่ความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากเพื่อที่จะบังคับให้ความรู้สึกมันอยู่กับเรา อย่าให้มารมันมีกำลังมากกว่าเรา มันมากกว่าเรา มันกดขี่ใจเรานะ ไม่มีใครรังแกเราเลย สิ่งข้างนอกเขารังแกกัน เห็นไหม ขอความยุติธรรม ขอความยุติธรรม ทำไมเราไม่ขอความยุติธรรมกับความรู้สึกของเราบ้างล่ะ มันเหยียบย่ำใจเราอยู่นี่ ถ้าเราควบคุมเขา

ใจมีสติสัมปชัญญะ เห็นไหม ทำให้มันเป็นปกติ ความปกติคือความเสมอภาค สิ่งที่เป็นความเสมอภาคทุกคนมีสิทธิเหมือนกัน ทุกคนมีหัวใจเหมือนกัน แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้วพยายามกำหนดพุทโธก็ได้ คำว่าพุทโธเป็นคำบริกรรม เห็นไหม ใช้ความคิดต้องมีสติตามความคิดไป เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร กองสังขารโดยธรรมชาติมันเกิดดับ คือมันคิดโดยธรรมชาติของมัน แล้วมันก็คิดเอาแต่พิษแต่ภัยมาเหยียบย่ำเรา

แต่ถ้าเราใช้สติสัมปชัญญะตามความคิดเราไปนะ นี่ปัญญาอย่างนี้ปัญญารอบรู้ความคิดของเรา ความคิดของเราอยู่ในอำนาจของเรา นี่ที่เราเครียด เราไม่มีความสุขกันนี่ เพราะความคิดมันมีอำนาจเหนือเรา แล้วธรรมะมีเหนืออำนาจความคิด นี่เหนือเรานี่ เห็นไหม แล้วมันสงบเข้ามา สงบเข้ามา นี่อย่างนี้มีเจ้าของ มีเจ้าของเพราะอะไร เพราะเราเป็นคนรู้ เราเป็นคนเห็น มันส่งออกต่อหน้าของเรา มันมีกำลังของมัน เห็นไหม นี่สัมมาสมาธิเป็นอย่างนี้

ถ้ามันเฉยๆ เราปฏิเสธมัน ในการปฏิเสธไม่คิด เราปฏิเสธความคิด ไม่คิดมัน ไม่คิดมัน ไม่คิดมันมันก็คิด เพราะมันคิดโดยที่เราควบคุมมันไม่ได้หรอก เดี๋ยวมันก็เกิดอีก เดี๋ยวมันก็เกิดอีก แต่ถ้าใช้ปัญญาไปควบคุมมัน มันจะคิดขึ้นมาเราทันนะ ทันด้วยอะไรรู้ไหม คิดอย่างนี้ก็เจ็บทุกทีเลย คิดอย่างนี้ก็เจ็บแสบทุกทีเลย คิดอย่างนี่ก็ทุกข์ร้อนทุกทีเลย มันรู้คุณรู้โทษ พอมันรู้คุณรู้โทษมันก็แหยง มันก็เห็นเหตุเห็นผล มันไม่กล้ากระทำ เหมือนเราเอามือไปหยิบไฟเลย มือหยิบไฟมันก็ร้อนใช่ไหม เวลามันปล่อยไฟขึ้นมามันก็เย็นใช่ไหม

แต่ถ้าเราไม่รู้จักไฟ ไม่รู้จักมือ แล้วใครเป็นคนคิดล่ะ แล้วใครเป็นคนปล่อยวางล่ะ แล้วใครเป็นเจ้าของล่ะ เห็นไหม มันถึงเป็นมิจฉาไง

ถ้าเป็นสัมมามันจะมีสติ มันจะปัญญาควบคุมไป มันจะปล่อยวาง ปล่อยวาง จากเรื่องการทำทานกันนี่ จากเรื่องเรามีเสียสละกันนี่ ถ้าไม่มีเสียสละกันเลยเราจะเริ่มต้นที่ไหน เราจะควบคุมใจเราได้ที่ไหน เราจะเริ่มต้นไม่เป็นกันเลย แต่ถ้าเราเสียสละเข้ามานี่ ทรัพย์อันละเอียดเป็นอริยทรัพย์จากภายในนะ

ทรัพย์จากภายนอก เห็นไหม ทรัพย์สมบัติข้าวของมันอนิจจัง มันแปรสภาพตลอด แต่ทรัพย์อันนี้มันเป็นทรัพย์จากภายใน มันจะอยู่กับเราตลอดไป อยู่กับเราตลอดไปนะ มันอยู่เพราะมันอยู่ในความรู้สึกของเรา โจรปล้นไม่ได้ ใครขโมยของเราไปไม่ได้ แล้วถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราใช้ปัญญาใคร่ครวญของเรานะ จนจิตมันปล่อยวาง มันขาดออกไปจากความคิดอันนี้ เห็นไหม อันนี้เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์อันนี้เป็นอกุปปธรรม

ความคิดมันเกิดดับๆ เห็นไหม เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ มันเกิดจากอะไร มันเป็นอนิจจัง แต่ถ้ามันคงที่ล่ะ นี่ความทุกข์ที่คงที่มีนะ ความทุกข์ที่คงที่หมายถึงว่ามันอยู่กับเราตลอดไป แต่ความสุขที่คงที่ คงที่มันรู้เท่าทันหมด เห็นไหม มันปล่อยวางมา นี่มันยืนยันมานะว่าศาสนาเรานี่มันมีมรรคมีผล มันมีเหตุมีผลไง

วันนี้วันมาฆบูชา เป็นการยืนยันว่าพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้ เอหิภิกขุ บวชทั้งร่างกายด้วย บวชทั้งจิตใจด้วย จิตใจต้องบวชนะ นี่เราเป็นนักบวชกัน เรามาประพฤติปฏิบัติกันนะ เราบวชที่ร่างกายแล้วเราไม่สามารถบวชหัวใจเราได้ เพราะความคิดมันเหนือเรา เราบวชบวชด้วยศีล สมาธิ ปัญญา แล้วเราจะบวชความรู้สึกของเรา แล้วความรู้สึกนี่เป็นพระที่หัวใจไง นี่เราอุปัฏฐากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่ใจของเรา นี่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ ความรู้สึกนี่พุทธะ พุทธะมีอยู่กับเรานะ

นี่เราต้องไหว้พระกัน ถ้าไม่มีพระพุทธรูปเราจะไหว้พระกันไม่ได้เลย เราไม่เข้าใจไหว้พระที่ไหน แต่เราไม่รู้เลยเราไหว้พระนามธรรมนี่ ไหว้พระในหัวใจนี่ ผู้รู้นี่ไหว้พระ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กับเรา ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กับเรา เราอุปัฏฐาก เรารักษาใจเรา รักษาใจเราก็ต้องศีล สมาธิ ปัญญา มีศีลควบคุมขึ้นมานี่เราจะเห็นใจเรา เราจะรักษาใจเรา แล้วเราจะควบคุมใจเราได้ เราจะซึ้งในศาสนามาก นี่ลงใจอย่างนี้

ครูบาอาจารย์ท่านบอกกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอย่างนี้ไง กราบเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประพฤติปฏิบัติมา แล้ววางธรรมแล้วเราทำไป นี่พระพุทธเจ้าวางไว้ ถ้าเราไม่มีนะ คนจะรู้ได้โดยธรรมชาติมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า สาวก สาวกะ พวกเรานี่ปัญญามันอ่อนด้อย อ่อนด้อยเพราะอะไร เพราะมันเข้าไม่ถึง เข้าไม่ได้ มันละเอียดอ่อนเกินไป ดูสิ ปัญญาทางโลกเขาว่าปัญญาอย่างนั้นนะเขาหาผลประโยชน์กันได้ แต่ปัญญาอย่างเราหาผลประโยชน์จากหัวใจของเรา แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรานะ นี่ศาสนาที่นี่

วันนี้วันมาฆบูชานี่ยืนยัน ยืนยันจากความสำคัญในศาสนา แล้วก็ยืนยันในความสำคัญจากหัวใจของเรา ตัวภาชนะ ตัวความรู้สึก ที่จะสัมผัสกับศาสนาได้คือความรู้สึก นี่ในคัมภีร์ ในต่างๆ มันเป็นตำรา มันเป็นวัตถุ มันเป็นสิ่งที่ว่าเจือจานไว้ให้เป็นหลักฐาน แล้วมันไม่มีชีวิต ไม่มีความรับรู้หรอก แต่เราปฏิบัติเรารับรู้ เราเข้าใจ นี่ศาสนาแท้ๆ อยู่ที่ใจของเรา เอวัง